แปลและเรียบเรียงโดย...." ธีรทาส"
บทที่ 1.
..ยังมีชาวนา ผู้ซึ่งไม่รู้จักหนังสือทั้งสติปัญญาก็ค่อนข้างจะโง่ทึบคนหนึ่ง อยู่มาวันหนึ่งเขาคิดอยากจะไปบวชเป็นพระที่สำนักสอนธรรมมีชื่อเสียง
ในเมืองแห่งหนึ่ง แต่ต้องผิดหวัง เพราะกฎของวัดนั้นมีระเบียบวางไว้ว่าถ้าบุคคลใดจะเข้ามาบวชเป็นพระอยู่ในวัดนี้ จะต้องท่องสูตรพระอภิธรรม
หรือคัมภีร์ใดคัมภีร์หนึ่งให้ได้เสียก่อน....ทางวัดจึงจะอนุญาตให้บวชได้ ชาวนาผู้นี้จึงขอเข้ามาอาศัยอยู่ในวัดเพื่อฝึกหัดเรียนไปพลางก่อน ! อาจารย์
เห็นความตั้งใจดีของเขาจึงรู้สึกสงสารพยายามสอนธรรมเบื้องต้น ๆ ให้... อดทนสอนไปเถิด! เดือนก็แล้วปีก็แล้ว เรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพานนั้น
ไม่ต้องพูดถึงเลยไม่มีทางจะฟังกันรู้เรื่อง เอาเพียงแค่ "โลภะ - โทสะ โมหะ" 3 ตัวนี้เท่านั้น ก็ยังจำลักษณะหรือเข้าใจอาการของจิตไม่ได้ หลายปีผ่านไป
อาจารย์ผู้สอนเกิดท้อใจขึ้นมา คือมองเห็นความโง่ซึ่งเป็นวิบากกรรมเก่า ๆ ของศิษย์ แล้วก็ปลงใจจึงบอกกับศิษย์ตรง ๆ ว่า
"ต่อไปนี้เจ้าไม่ต้องเรียนหรือท่องบ่นคัมภีร์อะไรให้มันยุ่งสมองเกินตัวเจ้าไปเลย .....! เจ้าจงตั้งหน้าตั้งตาทำงานที่เป็นบุญกุศลไปให้มาก ๆ ก็พอแล้ว.....บุญบารมีของฉันที่จะเป็นอุปัชฌาย์ของเจ้านั้นคงจะไม่ได้สร้างสมมาแต่ชาติก่อน เอาไว้คอยชาติหน้าเถิด !
เผื่อว่าฉันได้ตรัสรู้ธรรมเมื่อใดแล้ว จึงจะค่อยมาเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันใหม่ พวกศิษย์ร่วมสำนักได้ตั้งสมญาให้เขาว่า
"นายดอกบัวใต้น้ำ" ใช้เรียกกันจนติดปากหมดทั้งวัด
ต่อมาวันหนึ่ง "นายดอกบัวใต้น้ำ" นั่งครุ่นคิดอยู่ในใจว่า เรามาอยู่วัดนี้ก็หลายปีแล้ว เรียนอะไรก็ไม่ได้ความสักอย่าง
จนกระทั่งท่านอาจารย์ถึงกับบอกคืนตำแหน่งผู้สอนแก่เราเสียแล้ว ต่อไปคงจะไม่มีใครรับสอนธรรมให้เราอีกเป็นแน่.. คิด ๆไปก็กลุ้มใจหนักขึ้นทุกที...
บังเอิญมีภิกษุต่างเมืองรูปหนึ่งที่มาศึกษาธรรมอยู่ด้วยกัน เห็นแล้วเกิดสงสารในความโง่ทึบของสมองของ "นายดอกบัวใต้น้ำ "นี้ขึ้นมา จึงแนะนำด้วยเจตนาดีแก่เขาว่า ฉันได้ยินข่าวมาว่า ณ เมืองโซกาย มีอาจารย์เซ็น (เซ็น...... (ฌาน) คือสุญญตาธรรมที่ให้ความรู้แจ้งทางจิตใจ เป็นปัญญาวิมุตติ ....ธีรทาส) ผู้หนึ่ง ท่านมีสานุศิษย์อยู่เป็นจำนวนมาก วิธีสอนของท่านแปลกพิศดารกว่าสำนักอื่น ๆ คือ สอนทางลัด.... อาศัยประสบการณ์ทางธรรมชาติของศิษย์แต่ละคนเป็นเกณฑ์ ถึง แม้ คน ที่ ไม่ รู้ จัก หนังสือ มา ก่อน เลย ก็ยัง สามารถ เรียน รู้ ธรรม ได้.....
นายดอกบัวใต้น้ำพอได้ยินคำพูดว่า ไม่รู้จักหนังสือเลยก็ยังสามารถเรียนธรรมได้เท่านี้ จิตใจก็เบิกบานเกิดความปิติซาบซึ้ง คิดว่าตนคงจะยังพอมีโชค.... ยังไม่หมดหวังไปเสียทีเดียว กล่าวขอบคุณท่านผู้แนะนำทางให้ แล้วรีบไปกราบลาท่านอาจารย์
มุ่งตรงฝ่าป่าดงพงพีเสาะหาทางไปจนถึงเมืองโซกาย
ณ สำนักแห่งเมืองโซกาย มีต้นโพธิ์ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งซึ่งจำเดิมนั้นพระเถระนามว่า " ปัญญเภสัช (ตี๊เอี๊ยะซาจั๋ง) " ได้นำเอาหน่อกิ่งศรีมหาโพธิ์พันธ์ตรัสรู้ จากพุทธคยา ประเทศอินเดีย ติดตัวเที่ยวจาริกเผยแพร่พุทธศาสนามายังประเทศจีน สมัยเดียวกับ
"พระสังฆราชโพธิธรรมมหาครูบา " พอถึงเมืองโซกายเห็นวิวทิวทัศน์ของภูมิประเทศ กับภูเขานี้มีรูปนูนขึ้นเหมือนดังศรีษะพญาช้างเผือกกำลังหมอบ ภาพวิวนี้ดูแล้วเหมือนกับเมืองที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ท่านจึงหยุดพักแล้วพิจารณาโดยรอบ ๆ
ตักน้ำในลำธารนั้นขึ้นมาดื่มแล้วรู้สีกประหลาดใจมาก..... น้ำนี้ใสไหลเย็นมีกลิ่นหอมดุจดังกลิ่นสุคนธ์ชาติ ท่านจึงนั่งเข้าฌานดูเห็นว่าอีกประมาณ 170 ปี ในสถานที่นี้ จักมีพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งมาบรรลุธรรม ณ ตรงจุด ๆ นี้ ท่านจึงได้ทำนายไว้ล่วงหน้า
แล้วเอาหน่อกิ่งโพธิ์ที่ติดต้วมาจากทิศตะวันตกปลูกลงไว้ในดิน ณ ที่นั้นส่วนตัวท่านได้จาริกเผยแผ่ธรรมต่อไปตามดินแดนต่าง ๆ จวบจนวัยชราจึงกลับมาสร้างวัดไว้ ณ ที่นี้ (คือ ผู้สร้างวัดท่านเว่ยหล่าง)จนสิ้นอายุขัยของท่านได้นั่งสมาธิดับขันธ์ในฌานสมาบัตินิพพานไป ในต้นราชวงศ์เหลี่ยงบู๊ตี่(นับมาจนถึง พ.ศ 2508 นี้ เป็นเวลาประมาณ 1,400 ปีเศษมาแล้ว)ซากพระศพของท่านยังคงอยู่ในสภาพที่ร่างกายมิได้บุบสลายหรือเน่าเปื่อย และคงนั่งอยู่ในท่านั่งสมาธิเหมือนตอนนิพพาน บัดนี้ได้ลงรักปิดทองเก็บรักษาไว้
..ณ ลานศรีมหาโพธิ์แห่งวัดโซกาย มีอาจารย์เฒ่าท่านหนึ่งมักจะเดินจงกรมมานั่งทำสมาธิแถวนี้ตอนเวลาบ่ายเสมอๆ
นายดอกบัวใต้น้ำ เดินทางมาหลายอาทิตย์ก็เข้าถึงบริเวณวัดโซกาย พอมองไปเห็น "หลวงพ่อเฒ่า " นั่งหลับตาอยู่ใต้ต้นโพธิ์อันร่มเย็น ก็นึกดีใจ คงจะเป็นท่านอาจารย์ดังที่ภิกษุรูปนั้นแนะนำไว้เป็นแน่ จึงค่อย ๆ เดินเข้าไปหาแล้วก็นั่งลงกราบไปที่พื้นดินสามหน
ในทันทีนั้น ท่านหลวงพ่อก็ลืมตาขึ้นดูเห็นชายหนุ่มผิวคล้ำ หน้าผากเตี้ยจมูกเชิด ท่านจึงถามขึ้นว่า "เจ้ามาจากไหน ต้องประสงค์อะไร ? "
นายดอกบัวใต้น้ำ ตอบว่า "ผมชื่อดอกบัวใต้น้ำ เดินทางมาจากวัดเมืองใต้ ผมต้องการจะมาขอเรียนธรรมจากคุณพ่อ ครับ !" หลวงพ่อเฒ่า พอได้ยินคำว่าชื่อ "ดอกบัวใต้น้ำ" เกิดสนใจในชื่อเสียงของผู้มาเยือน นิ่งพิจารณาดูอยู่สักครู่หนึ่ง แล้วก็ชี้บอกให้ไปหาข้าวหาน้ำกินยังโรงทานที่เชิงเขาโน้นก่อน !
อีกสองวันต่อมา นายดอกบัวใต้น้ำ เห็นท่านพ่อถือไม้เท้าเดินออกมานั่งหน้ากุฏิจึงค่อย ๆ เดิน เบา ๆ
เข้าไปกราบลงแทบเท้าสามครั้ง แล้วกราบเรียนท่านว่าผมเป็นคนชาวนา เกิดมาในตระกูลยากจนขัดสน.........
พ่อแม่ก็ตายตั้งแต่ผมยังเยาว์วัย เลยขาดผู้อุปถัมภ์ให้ได้เล่าเรียนหนังสือ อยู่มาวันหนึ่ง.... ผมคิดเบื่อหน่ายในชีวิตที่ยากแค้น
ที่มีมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงคิดอยากจะบวชเผื่อจะได้บุญกุศลบ้าง จึงได้เดินทางเข้าไปยังวัดแห่งหนึ่งเพื่อขอฝากตัวเป็นศิษย์
แต่โชคไม่ดีท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นบอกว่า ผู้ที่จะมาบวชอยู่ในวัดนี้จะต้องท่องสูตรพระอภิธรรมหรือคัมภีร์ใดคัมภีร์ หนึ่งให้ได้เสียก่อน จึงจะยอมให้บวช
ผมบอกไปว่าผมไม่รู้จักหนังสือ ท่านอาจารย์สงสารผมมากอุตสาห์เอาคัมภีร์มาอ่านให้ฟัง เวลาท่านว่างเสมอ ๆ
ผมก็ตั้งใจฟังและเรียนอยู่หลายปีก็ยังท่องจำอะไรไม่ค่อยจะได้ ท่านสอนให้ผมระวังคอยจับลักษณะวาระของจิต
เช่น "โลภะ - โทสะ -โมหะ" ให้ดีๆ ว่า มันแสดงอาการออกมาในรูปไหน? ผมได้เรียนมาเป็นเวลานานแล้ว
ก็ยังแยกไม่ออกสักที จนอาจารย์ท่านโมโหไม่ยอมรับสอนธรรมให้ผมเสียแล้วครับ ! ท่านบอกว่าเอาไว้ชาติหน้าเถิด !
ปะเหมาะเผื่อท่านได้ตรัสรู้ธรรมแล้วจึงจะสอนให้ผมใหม่ ท่านสั่งให้ผมทำแต่บุญกุศลไปให้มาก ๆ ก็ แล้วกัน !
ท่านพ่อ สนใจฟัง แต่นิ่งไม่พูดอะไร ตกเวลาเย็นหลังจากสวดมนต์ทำวัตรจบแล้ว จึงเรียกศิษย์ให้ตามท่านไป ขณะนั้นเป็น
ฤดูเริ่มหนาว หมอกหิมะตกทุกคืน ชาวจีนทุกคนจะต้องสวมหมวกทำด้วยไหมพรมหนา ๆ พอเดินเข้ากุฏิ
ท่านพ่อก็บอกให้ปิดประตูลั่นกลอนเสีย แล้วท่านนั่งลงพักเหนื่อย...บนเก้าอี้นวม
ศิษย์ก็ถอดหมวกออกด้วยความเคารพ แล้วเอาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ นั้น แล้วเดินไปรินน้ำชาร้อน ๆ มาถวายท่านพ่อถ้วยหนึ่ง เพื่อดื่มกันความหนาว
ท่านพ่อบอกให้ศิษย์เดินตามมาทางประตูด้านใต้
(กุฏินี้มีสองประตู) พอถึงก็ชี้มือให้ศิษย์ออกไปข้างนอก นายดอกบัวใต้น้ำ พอก้าวธรณีประตูออกไปเท่านั้น
ท่านพ่อก็ปิดประตูลั่นกลอนเลย ! แล้วกลับมาที่โต๊ะเก็บเอาหมวกของศิษย์ซ่อนไว้เสียอีกด้วย
นายดอกบัวใต้น้ำ ออกไปปะทะลมหนาวเข้า ก็ยังไม่รู้ว่าท่านพ่อจะให้ออกมาทำอะไร ?
เดือนก็มืดละอองหิมะเริ่มทยอยพัดสาดเข้ามายังร่มชายคาหน้ากุฏิ มันปกคลุมไปหมดไม่สามารถ จะมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้
หนาวจนขนลุกครางสั่น ฮือ ! ฮือ ! ก็นึกถึงหมวกที่อยู่ในกุฏิขึ้นมาได้ หันหลังกลับเข้าไปคลำหาประตู อ้าว !
ท่านพ่อลั่นกลอนประตูแน่นเสียแล้ว ตาย ! ตาย ! ทีนี้เราจะทำอย่างไรกัน ? จึงส่งเสียงร้องเรียกว่า หลวงพ่อครับ ! หลวงพ่อครับ !
หมวกของผมอยู่ข้างในครับ ! เอ๊ะ ! ไม่ได้ยินเสียงท่านตอบ แต่คงเรียกอยู่อย่างนั้นแหละ ! เรียกไปเถิด !
ท่านให้ผมออกมาทำอะไรครับ ? หนาวตากละอองหิมะทนแทบไม่หวแล้วครับ! เงียบ ! ไม่มีวี่แววของเสียงที่จะตอบออกมาเลยแม้แต่คำเดียว นายดอกบัวใต้น้ำ นั่งกอดเข่าฟันกระทบกันกิ๊ก ! กิ๊ก !
ครางสั่นฮือ ! ฮือ ! ตาย ! ท่านพ่อจะเล่นแบบไหนกับเราก็ไม่รู้ ?
สามชั่วโมงผ่านไป ท่านพ่อออกมาเปิดประตู นายดอกบัวใต้น้ำ ไม่ถามอะไรเลย ตรงปรี่ไปที่ปั้นน้ำชา
หยิบถ้วยรินน้ำชาร้อนซดฮวก ! ฮวก ! สองถ้วยติด ๆ กัน แล้วเดินไปยังโต๊ะที่วางหมวกไว้นึกแปลกใจ ! หมวกของเราหายไปไหน
? มองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นมี จึงเรียนถามท่านพ่อว่า "หมวกของผมวางไว้บนโต๊ะนี้หายไปไหนครับ ?"ท่านพ่อ : เจ้าวางไว้บนโต๊ะจริง ๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นมันจะหายไปไหนล่ะ ?
ศิษย์ตอบ : "แน่ครับ ! หลวงพ่อ ผมจำได้ไม่ผิด ถอดวางไว้ตอนเข้าประตู" ครับ
ท่านพ่อ : "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง มันก็แปลกประหลาดใจน่าคิด ขอให้เจ้าจงใช้ปัญญาคิดดูที ?
ศิษย์นั่งทบทวนอยู่ไปมา เกิดความคิดแวบขึ้นมาว่าต้องมีขโมยเอาไปมันจึงหาย แล้วยกมือขึ้นไหว้ท่านพ่อ "ผมคิดได้แล้วครับ !
ต้องมีขโมยเอาไปครับ !" ท่านพ่อ ซักต่อไป "ขโมยเขาเอาหมวกเจ้าไปเพื่ออะไร" จงคิดดูที ?ศิษย์ตอบ "เป็นเพราะเขาอยากได้ของผู้อื่น เขาจึงเป็นขโมย" ครับ !
ท่านพ่อ ถามอีกว่า การที่อยากได้ของผู้อื่นเขาจนต้องเป็นขโมยนั้น อาจารย์สำนักก่อนของเจ้าท่านสอนว่า "เป็นคนชนิดไหนเล่า?"
ศิษย์ นั่งคิด แล้วตอบว่า "โลภะ" ครับ!
ท่านพ่อยิ้ม ! หยิบหมวกออกมาจากที่ซ่อนยื่นให้ แล้วพูดว่า "นี่แหละ ! ปัญญาอันแท้จริงนั้นถ่ายทอดให้กันไม่ได้
ต้องเกิดขึ้นแก่ตัวของเจ้าเอง มันจึงจะอยู่และไม่ลืมไปได้ง่าย ๆศิษย์ดีใจแล้วพูดว่า ครับ ! หลวงพ่อ " I ตัว โลภะ" (หมายเหตุ ติดกรองคำก่อนคำว่าตัว :ผู้คัดลอก)
นี้ผมคงจะจำมันไว้ได้จนวันตายเลย ครับ !
ในทันใดนั้น ศิษย์เกิดศรัทธาวิธีสอนของเซ็นขึ้นมา จึงกราบลงที่แทบเท้าท่านพ่อเฒ่าอีกสามหา แล้วพูดว่า ท่านหลวงพ่อ
ได้สอนตัว "โลภะ" ให้แก่ผมจนเข้าใจดีแล้ว แต่ยังมีตัวต่อไป คือ "โทสะ" อีกตัวหนึ่งมันเป็นลักษณะแบบไหนกันครับ?
โปรดชี้แจงให้ผมทราบด้วยครับ !
ท่านพ่อเฒ่า ยืนกำไม้เท้าอยู่จนแน่น "เดี๋ยวก่อน ! เจ้าเรียนตัวนี้มากี่ปีแล้วล่ะ ?"
ศิษย์ ตอบว่า "ราว ๆ 3 ปีแล้ว ครับ !"
ท่านพ่อเฒ่า เหวี่ยงไม้เท้าลงไปที่สันหลังศิษย์ แล้วพูดซ้ำ ๆ ว่า นี่ "โทสะ - โทสะ ๆ จำไว้นะ ! มันมีลักษณะอย่างนี้"
นายดอกบัวใต้น้ำ ร้องโอ๊ย ! โอ๊ย ! "ผมรู้-ผมรู้จักมันแล้วครับ - ครับ - โอย
.!"
ต่อจากนั้นมา นายดอกบัวใต้น้ำ ก็จำแม่นขึ้นใจ เป็นอันว่าได้บรรลุธรรมข้อ "โลภะ และ โมหะ" ได้เป็นอย่างดีทีเดียวทุก ๆ วัน นายดอกบัวใต้น้ำ ช่วยเขาผ่าฟืนตักน้ำตามที่ตนถนัดตลอดเวลาหลายเดือน
ทุกเช้าเย็นภิกษุสามเณรหมดทั้งวัดต้องลงโบสถ์สวดมนต์ คือ สาธยาย วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (กิมกังเก็งฯ) และ
ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร (ซิมเก็งฯ) ซึ่งนิกายเซ็นถือว่า พระคัมภีร์ 2 เล่มนี้ สำคัญที่สุดของเซ็น
ถึงแม้ศิษย์ที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ยังต้องมานั่งฟังพร้อม ๆ กัน ทุกเช้าเย็น ฟังไปนาน ๆ
จิตอาจจะเกิดความสว่างไสวแวบขึ้นมาในขณะใดขณะหนึ่ง แล้วอาจจะบรรลุธรรมก็ได้เหมือนกัน
ใจความของพระสูตรสรุปย่อสั้น ๆ ได้ดังนี้
"ให้ขันธ์ 5 เป็นทาน"
สูงกว่าเงินทองเป็นทาน
พิจารณาขันธ์ 5 ให้ว่าง
ทุกข์ทั้งปวงจะดับหมด"
ยู่มาวันหนึ่ง ท่านพ่อประชุมสานุศิษย์แสดงธรรมเรื่อง "ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร" ท่านกล่าวว่า
คัมภีร์นี้สำคัญมากสำหรับนิกายเซ็น (ฌาน) เป็นสูตรที่รวมเอาใจความของพระธรรมทั้งหลายมาอยู่ในสูตรนี้สูตรเดียว
ถ้าผู้ใดได้ศึกษาและฟังเข้าใจแล้ว นำเอาไปปฏิบัติจะพ้นทุกข์ในวัฏฏะแน่นอน ต่อไปนี้ขอให้เจ้าทั้งหลายจงตั้งใจฟัง
"ธรรมทั้งปวงมีความว่างเป็นลักษณะ แต่ความว่างก็มิใช่ธรรมะ ธรรมะก็มิใช่ความว่าง" ท่านเทศน์ต่อไปเรื่อย ๆ
มีใจความตอนหนึ่งว่า "ธรรมที่แท้จริงนั้น ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และไม่มี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและธรรมารมณ์
ไม่มีจนกระทั่ง ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค การเกิดแก่เจ็บตายทั้งหลายเหล่านี้อีกด้วย"
นายดอกบัวใต้น้ำ วันนี้ตั้งใจฟังเป็นพิเศษ พอได้ยินท่านพ่อพูดมาถึงประโยคที่ว่าไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็เกิดความคิดแวบ !
ขึ้นมาว่า เอ๊ะ ! เรานี่มันก็มีครบทุกอย่างนี่นา
! ทำไมท่านพ่อจึงว่าไม่มี ประเดี๋ยวจะต้องถามให้สิ้นความสงสัยเสียที
พอเทศน์จบศิษย์ก็ยกน้ำชาเข้าไปถวาย แล้วถามขึ้นว่า
"เมื่อตอนที่ท่านหลวงพ่อพูดว่า ไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้น ผมรู้สึกว่าผมก็มีครบทุกอย่างนี่ครับ !หลวงพ่อ "
ฝ่ายท่านพ่อพอได้ยินศิษย์โง่ถามขึ้นมาอย่างนี้ ก็หยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาซดฮวก! ฮวก ! แล้วก็ยิ้มน้อย ๆ นึกในใจว่า
วันนี้ไม่เสียแรงที่เราขึ้นเทศน์เลย ศิษย์อื่นจะเข้าใจธรรมทั้งหมดนั้นไม่สำคัญ
เพราะปัญญาบารมีของเขาได้สร้างสมไว้พอที่จะรู้หรือปฏิบัติธรรมได้ ส่วนเจ้า ดอกบัวใต้น้ำนั่นซิ ! เราหนักใจมานานเต็มทนแล้ว
วันนี้แกเกิดสงสัยในข้อธรรมขึ้นมา นับว่าเป็นการก้าวหน้าในการสอนของเราขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งทีเดียว
ท่านพ่อ จึงตอบว่า "เดี๋ยวก่อน ! เมื่อตะกี้นี้เจ้าพูดว่าเจ้ามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนเหมือนกับเขาทั้งหลายแล้วซิ
! ทีนี้ขอให้เจ้าจงใช้ปัญญาของเจ้าเองพิจารณาต่อไปว่า ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นของเจ้าเองแท้จริงตลอดไปหรือเปล่า ? "จากนี้อีกปีเศษ นายดอกบัวใต้น้ำ นั่งครุ่นคิดอยู่เองว่า เรามาอยู่ในวัดนี้ได้ธรรมที่จำได้จริง ๆ ซาบซึ้งไม่มีวันลืม ก็คือ ตัว "โลภะ "
หมวกหาย "โทสะ" ถูกหวดสันหลังอย่างแรง 3 ที ตากละอองหิมะ
3 ชั่วโมง ต่อไปยังมีตัว "โมหะ" อีกตัวหนึ่ง ท่านพ่อยังไม่ได้สอนให้แก่เรา ซึ่งอาจารย์องค์ก่อนท่านเคยบอกไว้ว่าตัวนี้สำคัญที่สุด
ถ้าใครรู้หรือเข้าใจเพียงตัวเดียวนี้เท่านั้น ก็อาจจะเข้าใจธรรมทั้งหมดก็ว่าได้ คิดจะไปเรียนถามท่านพ่อให้จบเรื่องกันเสียที
แต่ก็ไม่ค่อยจะกล้า เพราะไม่รู้ว่าจะโดนหวดเหมือนครั้งก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? คิด ๆ
ไปก็อึดอัดใจตัวเองคงจะเป็นเพราะที่เรายากจนไม่ได้เรียนหนังสือเป็นแน่ มันจึงโง่กว่าคนอื่น ๆ เขา กรรม - กรรม - ของเราเองแท้
ๆ เฮ้อ !อีกสักอาทิตย์หนึ่งต่อมา ท่านพ่อนั่งอยู่ในเงาร่มไม้ นายดอกบัวใต้น้ำ จึงรวมกำลังใจอยู่พักหนึ่ง
แล้วค่อยเดินเข้าไปกราบที่พื้นดินสามหน
นายดอกบัวใต้น้ำ พูดขึ้นว่า ครั้งก่อนท่านหลวงพ่อ ได้สอน "โลภะ และ โทสะ " ให้แก่ผมจนรู้แจ้งแล้ว บัดนี้ยังขาดตัว "โมหะ"
ขอได้โปรดช่วยกรุณาสอนให้ผมด้วย ครับ !
ท่านพ่อเฒ่า แห่งโซกาย นั่งนิ่งอยู่สักครู่แล้วพูดขึ้นว่า "ต่อจากนี้ไป เจ้าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด" แล้วท่านหยิบไม้กวาดยื่นส่งให้
นายดอกบัวใต้น้ำ แล้วพูดขึ้นอีกว่า " จงกวาดขี้ฝุ่นละอองธุลีทั้งนอกและทั้งในทิ้งให้หมด" นายดอกบัวใต้น้ำ ครับ! รับไม้กวาดมา
จากนี้ทุกเช้าก็ต้องทำเวรเก็บกวาดใบไม้จนกว่าจะหมดทั่วทั้งลานวัดกินเวลาเกือบทั้งวันและทุกวันจิตใจอ่อนเพลียระเ
ยใจไปตลอดปี ทำงานนี้ซ้ำซากกันปีแล้วปีเล่าจึง ไปเรียนถามท่านพ่อว่า "ตัวโมหะ นั้นเป็นอย่างไร?" ท่านก็ตอบว่า
"กวาดมันหมดแล้วหรือยังล่ะ ? ซึ่งคำตอบของท่านนี้ดูเหมือน จะเป็น "โกอาน-ปริศนาธรรม"เรามันก็โง่อยู่เป็นพื้นมาแล้ว
คิดอย่างไรก็ตีปัญหานี้ไม่แตกสักที ! อุตส่าห์ไปถามกี่ครั้งกี่หน ท่านก็ตอบว่า "กวาดมันหมดแล้วหรือยังล่ะ? " แบบนี้ทุกที !
กรรมอะไรหนอ ? ทีมาพบอาจารย์เอาแต่นิ่งนิ่ง ! เราคงจะต้องกวาดลานวัดไปจนวันตายเลยก็ไม่รู้ เฮ้อ ! เวร! เวร!
แต่ชาติก่อน
หลายเดือนผ่านไป เกิดฤดูเปลี่ยนแปลงอากาศเริ่มร้อนจัดหิมะเมฆหมอกสลายตัวท้องฟ้ากระจ่างแจ้ง
ในบัดดลนั้นก็เกิดมีลมพายุใหญ่พัดมาอย่างแรง กระแสลมได้พัดกวาดพาเอาใบไม้และขี้ฝุ่นละอองธุลีต่าง ๆ
ไปหมดจนลานวัดเตียนโล่ง พอลมสงบ นายดอกบัวใต้น้ำ ซึ่งเดินถือไม้กวาดอยู่เห็นเข้าก็ร้องขึ้นว่า "เอ้อ ! โชคดี
ของเราแล้วโว้ย ! ฟ้าดินช่วย คราวนี้คงจะได้หยุดพักสบายไปหลายวันแล้วก็เดินไปนั่งสมาธิที่ใต้ต้นท้อ
เอาความว่างใสเย็นกระจ่างของท้องฟ้าเป็นนิมิต พิจารณาดูไปจนเกิดปัญญาขึ้นมาว่า "ถ้าจิตใจของเราสลัดทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างได้
เหมือนลมพายุพัดกวาดเอาขี้ฝุ่น และใบไม้ไปจนเตียนโล่งลานวัดอย่างนี้ได้แล้ว จิตใจของเราคงจะหมดความทุกข์สิ้นกังวลต่าง ๆ
เหมือนหมดเวร ไม่ต้องถือไม้กวาดทุก ๆ วันเป็นแน่แท้"
ในทันใดนั้น ท่านพ่อเฒ่าแห่งเมืองโซกาย รู้ได้ด้วยญาณว่าวาระจิตของศิษย์ไปถึงไหนแล้ว
ท่านพ่อจึงลงจากกุฏิเดินตรงมายังต้นท้อ ยืนรอคอยจนศิษย์ออกจากสมาธิ เมื่อศิษย์เห็นท่านพ่อเข้าก็รีบก้มลงกราบ
ท่านพ่อเฒ่า พูดขึ้นว่า "จงเอาไม้กวาดของฉันกลับคืนมาได้แล้ว ฉันจะเอาไปไว้ให้คนอื่นที่เขายังมีใบไม้และขี้ฝุ่นรก ๆ
เกรอะกรังอยู่กวาดกันบ้าง"
ตอนบ่าย ท่านพ่อก็ประชุมสานุศิษย์ ทำพิธีปลงผมอุปสมบทให้ นายดอกบัวใต้น้ำ แล้วยังตั้งฉายาให้ใหม่ว่า "ภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ"
พอเสร็จพิธีการบวช ท่านพ่อเฒ่าพูดว่า "ต่อไปนี้เธอเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาโดยสมบูรณ์แล้ว เธอจะถือนิสัยแบบเดิม
ชอบเที่ยวออกไปกินอาหารที่มีเนื้อสัตว์ตามนอกวัดไม่ได้แล้วนะ !
จะเป็นการผิดศีลซึ่งเป็นข้อห้ามของพระพุทธศาสนาขึ้นชื่อว่าศาสนาพุทธแล้วต้องไม่ฆ่าสัตว์
ไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ จึงจะเรียกว่าเป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์ ถึงแม้จะมีบางนิกายเห็นว่าไม่ผิดศีล
เพราะไม่ได้เจตนาฆ่าเอง หรือถ้าจะอ้างว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านก็ยังฉันอาหารของ นายจุนทะ ฯซึ่งปรุงด้วยเนื้อสุกรเช่นกัน ผู้พูดแบบนี้เพราะเขามีความอยากจะกินอยู่แล้วเป็นต้นทุน
นักปราชญ์ยุคหลังจึงตีความในอักษรศาสตร์ผิดความหมายเดิมของเขาไป หลักฐานในพระไตรปิฏก
มหายานมีระบุไว้ชัดเจนว่า นายจุนทะผู้มีความศรัทธาต่อพระพุทธองค์ได้ไปเก็บเห็ด (ต้นฉบับเดิม "สุกรมัททะวะ" แปลว่า เห็ด
ชาวบ้านเรียกว่าเห็ดหมู จีนแปลไว้ว่า " ตือโกว (เห็ดหมู) บางแห่งแปลว่าจันทันฉิ่วยื้อ"
เห็ดชนิดนี้เนื้ออ่อนนุ่มรสอร่อยพวกหมูชอบกินเป็นอาหารกินได้ทั้งคนและสัตว์) จากต้นจันทน์มาปรุงอาหารถวาย
ซึ่งเห็ดชนิดนี้ตามปกตินั้นชาวพื้นเมืองมักจะเอามาปรุงเป็นอาหารกินได้โดยไม่มีพิษโทษอะไรเลย !
แต่โดยบังเอิญที่โพรงไม้จันทน์ต้นนี้เดิมคงจะมีสัตว์ เช่น งูพิษมาอาศัยอยู่ก่อน ซึ่งนายจุนทะก็ไม่รู้
ถ้ารู้ก็คงจะไม่มาเก็บเห็ดในโพรงไม้ต้นนี้ เป็นแน่
หลักฐานทางประวัติศาสตร์อีกด้านหนึ่ง จะชี้ชัดให้เห็นว่าพระพุทธเจ้าเกิดในตระกูลฮินดูชั้นสูงไม่นิยมการเสพเนื้อสัตว์
ประชาชนพลเมืองแถบนั้นก็เป็นชาวฮินดูเกือบทั้งหมด เมื่อตัวเองก็ยังไม่กินเนื้อสัตว์อยู่แล้ว
แล้วใครจะปรุงอาหารที่มีเนื้อสัตว์ไปถวายหรือใส่บาตรพระพุทธเจ้า ผู้เป็นผู้ค้นพบพระพุทธศาสนาเชียวหรือ ?
หรืออาจจะมีผู้เถียงว่า ก็ไม่ได้สั่งให้เขาฆ่ามาถวายนี่ ! นั่นแหละ !
การกินก็ยังจัดอยู่ในประเภทที่ได้สนับสนุนให้เขาฆ่าสัตว์อยู่เช่นกัน ถ้าจะมองในแง่เมตตาก็ยังขาดไปอีกเหมือนกัน บัดนี้เธอเป็น
"พระภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ" แล้ว เธอจะมุ่งจิตศึกษาเซ็นชั้นสูงต่อไปตามกำลังสติปัญญาของเธอเอง
จะต้องฉันหมดหน้าที่ที่คอยชี้ทางให้แก่เธอแล้ว ถ้าเธอปฏิบัติเซ็น (ฌาน) เพื่อความดับทุกข์ของตัวเองรอดนั่นคือ "อรหัตภูมิ"
เมื่อเธอบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว มีปัญญาเห็นว่า ไม่ควรจะเอาตัวรอดไปเพียงคนเดียว
เพราะยังมีสัตว์อีกมากมายที่ถูกขังอยู่ในกรงวัฏสงสาร สมควรที่เธอจะมาช่วยพระบรมศาสดาของเราประกาศธรรม รื้อสัตว์
ขนสัตว์กันต่อไปอีกนั่นคือ "โพธิสัตว์ภูมิ" จงทำต่อ ๆ ไปเถิด ! จะต้องบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณกันแน่นอน
(จบบทที่ 1)
บทที่ 2.
......... มีข่าวลือแพร่สะพัดว่า นายดอกบัวใต้น้ำ-ชาวนาโง่ ได้บรรลุธรรม ณ สำนักโซกาย แพร่ไกลออกไปทุกเมือง หลายปีต่อมา
มีพ่อค้าเกลือเดินทางไปค้าขายแถบเมืองใต้ แวะพักแรมที่วัดในสมัยที่นายดอกบัวใต้น้ำ ได้เคยมาศึกษาธรรมแล้วไม่สำเร็จ
ท่านเจ้าอาวาสวัดนั้นได้ถามนายวาณิชขึ้นว่า "ท่านเดินทางมาจากเหนือเคยได้ยินข่าวว่านายดอกบัวใต้น้ำ
ซึ่งเคยมาเรียนธรรมอยู่กับฉันแต่ก่อนนั้น บัดนี้ได้บรรลุธรรมที่สำนักโซกายแล้วบ้างไหม? " นายวาณิชตอบว่า เป็นความจริง !
ในวันที่ท่านอุปสมบทผมยังได้ถวายผ้าจีวรให้แก่ท่านไปผืนหนึ่งด้วย และท่านพ่อเฒ่าแห่งเมืองโซกายยังได้เปลี่ยนฉายาให้ใหม่ว่า
"ภิกษุดอกบัวพ้นน้ำ" บัดนี้กำลังเป็นอาจารย์สอนธรรมะแทนท่านพ่อเฒ่าวัยชราได้เป็นอย่างดี ซึ่งกำลังมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งเมือง
ท่านเจ้าอาวาส อุทาน "หือ! เดี๋ยวก่อน ! ท่านวาณิช นายดอกบัวโง่นั่นนะหรือ ? สอนธรรมได้ เป็นความจริงหรือ ?"
นายวาณิช ตอบว่า "เป็นความจริงครับ ! ท่านอาจารย์"
ท่านเจ้าอาวาส "ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงแล้ว เมืองโซกายจะต้องมีพระพุทธเจ้ามาเกิดแน่นอน"
"เอ้อ ! สาธุ! สาธุ! ฉันขออนุโมทนาด้วย ฉันจะได้หมดห่วงเขาเสียที"
หลังจากนายวาณิช ได้มาพูดเรื่องนี้ขึ้นแล้ว ก็เป็นข่าวสนใจโจษจันกันไปทั่ววัด บางท่านไม่ยอมเชื่อ
บางท่านก็ยังสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้หรือ ? คนไม่รู้จักหนังสือ ซ้ำยังโง่อีกด้วย มีภิกษุสูงอายุรูปหนึ่งชื่อ "ซิ้งทง"
เกิดศรัทธาสำนักเซ็นที่นายวาณิชพูดขึ้นมา จึงชักชวนเพื่อนภิกษุด้วยกันอีกสองรูปออกเดินทางไปพิสูจน์ความจริง
ท่านทั้งสามพร้อมใจกันมุ่งตรงตัดทางลัดเลาะป่าฝ่าดงพงทึบ แรมคืนมา 14 วัน พอบ่ายวันที่ 14 ก็มองเห็นภูเขาเป็นวิวราง ๆ
มีน้ำตกข้างหน้า ก็ดีใจเร่งรีบเดินตรงไปยังจุดนี้เพื่อหาน้ำและที่พักแรม เมื่อถึงเชิงเขาก็เห็นเณรองค์หนึ่งกำลังตักน้ำทีลำธาร
จึงแวะวกเข้าไปถามเณรว่า "ที่นี่มีวัดอยู่ด้วยหรือ ?"
สามเณรองค์นั้นตอบว่า "เป็นสำนักปฏิบัติธรรมนิกายลุกจง (นิกายวินัย)"
ทั้งสามท่านรู้สึกดีใจที่ได้พบมีวัดอยู่ในกลางป่าดง เพราะว่าข้าวตากเสบียงอาหารที่ติดตัวมาก็เหลือเล็กน้อยเต็มที
คงจะได้รับความช่วยเหลือ และจะได้ขออาศัยที่พักแรมชั่วคราว จึงเดินตามเณรน้อยไปจนถึงปากถ้ำ
สถานที่นี้สงบเงียบดี กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ภูเขา จะเห็นน้ำตกเป็นแผ่นสีขาวแผ่ทาบไว้บนไหล่เขา
ดูเสมือนผืนผ้าทิพย์ที่ชาวสวรรค์เขาเอามาตากไว้ให้มนุษย์ชม ระหว่างเชิงเขาสลับซับซ้อนไปด้วยชะง่อนผา
มีสีสรรค์งามแบบธรรมชาติที่ไม่มีมายาอะไรปรุงแต่ง
กระแสลมที่โชยมาแทรกอยู่ด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของเหล่าดอกพฤกษานานาพรรณ
น้ำตกตอนต่ำไหลเป็นสายวกวนมาเซาะกระทบแก่งหิน แล้วสะท้อนเสียง! เสมือนมีทวยเทพกำลังบรรเลงเพลงทิพย์ฟังดูแล้วคล้าย
ๆ กับบทสวดว่า "อนิจจัง - ทุกขัง - อนัตตา -ว่าง" ภายในจิตใจให้รู้สึกวิเวกวังเวงชวนให้คิดไปถึงว่าผู้อาศัยอยู่ในสถานที่นี้
คงจะเป็นพวกมนุษย์กึ่งเทพกึ่งคนเป็นแน่ เณรน้อยจึงนำเข้าไปในถ้ำใหญ่
พบท่านเจ้าสำนักกำลังสาธยายธรรมะมีศิษย์นั่งสนใจฟังอยู่ร่วมร้อยรูป พอจบการบรรยาย
ทั้งสามจึงเดินก้มหน้าสำรวมกิริยาเข้าไปกราบ ท่านเจ้าอาวาสถามขึ้นว่า "ท่านทั้งสามมีชื่อว่าอะไร มาจากไหนกัน ?"
ภิกษุซิ้งทงผู้อาวุโสกล่าวตอบไปว่า "ผมชื่อ ซิ้งทง องค์รองไปนี้ชื่อ ตี้หุย
ถัดไปองค์โน้นชื่อ ชอเจ็ง" ผมทั้งสามเดินทางมาจากวัดเมืองใต้จะไปเมืองโซกาย
ปรารถนาจะขอพักแรมในสำนักของท่านอาจารย์สักวันหรือสองวัน ก่อนแล้วจะเดินทางต่อไปครับ !
ท่านเจ้าอาวาส ต้อนรับอาคันตุกะทั้งสามเป็นอย่างดี แล้วถามขึ้นว่า "ท่านชื่อ ซิ้งทง ฉันสงสัยจะเป็นท่านนี้ใช่ไหม ?
ก่อนหน้าออกบวช เป็น นักเสกเวทย์มนต์คาถา ที่มีชื่อเสียงมาก" ท่านซิ้งทง จึงตอบว่า "ใช่แล้วครับ !"
ท่านเจ้าอาวาส "ดีแล้ว ! ฉันได้ยินศิษย์ของฉันชอบกล่าวถึงท่านเสมอ ๆวันนี้ได้พบตัวจริงนับว่าเป็นโชคดี เอาละ !
ไว้พรุ่งนี้ค่อยสนทนากันใหม่ ท่านจงไปอาบน้ำหาที่พักในวัดนี้ได้ตามใจชอบที่นี่ไม่มีอะไร อยู่กันแบบอาศัยธรรมชาติล้วน ๆ
ถึงแม้ว่าอาหารก็ไม่ได้เบียดเบียนชีวิตเนื้อสัตว์ ฉันแต่พวกพืชผักและผลไม้ในป่านี้ตามมีตามเกิดเท่านั้นเอง"
พอบ่ายวันรุ่งขึ้น ท่านเจ้าอาวาสเรียกประชุมศิษย์พร้อมกัน แล้วก็ประกาศว่า "ท่านที่เคยเชื่อถือ ท่านอาจารย์ ซิ้งทง ผู้วิเศษนั้น
บัดนี้ตัวท่านผู้วิเศษได้มาอยู่ ณ ทีประชุมของเราแล้ว และท่านคงจะมาทำพิธีเสกใบไม้ให้กลายเป็นตัวต่อ ตัวแตน
เสกเม็ดมะม่วงให้งอกขึ้นเป็นต้นได้ในอึดใจเดียว ขอให้พวกเราทั้งหลายได้ชมกันขณะนี้
ท่านซิ้งทง ถึงกับตกตลึงหน้าม่อย ! ไม่นึกเลยว่าท่านเจ้าอาวาสจะพูดแนะนำในที่ประชุมเช่นนี้ จึงค่อย ๆ
ลุกขึ้นเดินก้มหน้าเข้าไปกราบท่านเจ้าอาวาส แล้วพูดว่า "ท่านอาจารย์ครับ ! ผมเสกได้ แต่ไม่ใช่เป็นของจริงครับ!
เป็นการแสดงกล หวังผลประโยชน์เพื่อสังคมในทางอ้อมครับ ! ผมหลอกลวงต้มมนุษย์ที่มีความเชื่อถืองมงายมาเป็นพื้นฐาน
เป็นศิลปะในการอำพรางตาอันแยบยล และเป็นวิธีหาเงินของผม จากพวกโง่งมงายได้ดีอย่างสนิทมาหลายสิบปีแล้วครับ!
ขอให้ท่านอาจารย์ จงอย่าได้เชื่อตามข่าวนั้นว่าเป็นความจริงเลย ! ผมบัดนี้ก็เข้าวัดแล้ว
อ้ายเจ้ากรรมอันนั้นมันก็ตามมาสนองผมจนป่นปี้หมดทุก ๆ อย่างแล้ว ครับ !
ท่านเจ้าอาวาส "ก็เพราะว่าฉันไม่เชื่อ ! ว่าท่านทำได้ตามที่ศิษย์บอกนั่นซิ !
ฉันจึงอยากจะให้ท่านเปิดเผยวิธีการอันแยบยลของท่านที่เคยต้มมนุษย์ได้อย่างสนิท ให้พวกศิษย์ของฉันหมดความสงสัยเสียที
ท่านก็จะได้บุญในการเตือนให้เขาได้สติกันบ้าง อนุชนรุ่นหลังอีกหลายร้อยชั่วอายุคน
จะได้ไม่หลงเสียเวลาในสิ่งที่ไร้สาระหรือตื่นข่าวตามผู้วิเศษไป"
ท่านซิ้งทง เคยเป็นผู้วิเศษหลอกลวงมนุษย์มามากมายแล้วพอได้ยินคำว่า เปิดเผยแล้วจะได้บุญตรงที่เตือนให้มนุษย์ได้สติ
จึงยอมรับปาก ว่าจะแสดงการแสดงกลให้ที่ประชุมดูหมดทุกประการ
เมื่อกราบท่านเจ้าอาวาสแล้ว ก็ลุกขึ้นยืนในที่ประชุมแล้วพูดว่า "ท่านผู้คงแก่เรียนและมิตรสหายทั้งหลาย!
วันนี้ผมรู้สึกเป็นกุศลอย่างยิ่ง ที่ได้รับความกรุณาจากท่านอาจารย์ ให้ผมขึ้นมาสำนึกบาป คงจะเป็นเพราะท่านเห็นว่า
เมื่อผมตายไปแล้วมีหวังอเวจีมหานรก ท่านจึงมีเมตตาจิตแก่ผมให้มีโอกาสสร้างกุศล
พูดถึงความหลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อ ตามที่ผมได้ประพฤติมาแล้วนั้น ผมได้อวดตัวเองว่า
ผมเก่งกว่าเพื่อนมนุษย์ทั้งหลายมากมายไม่ว่าทุกเพศทุกวัยตลอดจนกระทั่ง อุบาสกอุบาสิกา พระภิกษุสามเณร
และผมยังสามารถทำให้คนทั้งหลายหลงมากราบไหว้บูชา การเล่นกลของผมได้เป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียว
โดยทั่วไปแล้ว "เงินทองที่ได้มาโดยทางไม่ดีแล้วซื้อของกินเข้าไปก็จะเป็นเลือดเป็นเนื้อที่ไม่ดี ถึงจะมีลูก มีเมีย
ก็จะกลายเป็นลูกเมียที่ไม่ดี"
เรื่องแรก ผมจะขอเล่า วิธีเสกใบไม้ให้กลายเป็นตัวสัตว์ เช่นตัวต่อหรือตัวแตน ดังที่ผมเคยเป็นผู้วิเศษมาแล้ว
ชั้นแรกจะต้องไปหาตัวแตนมาเด็ดเขี้ยวที่มีพิษอ่อนเสียก่อน แล้วซ่อนเลี้ยงไว้จนเชื่อง
สถานที่ต้องจัดให้เหมือนแบบพิธีกรรมทางศสนาเพื่อผู้ชมจะได้เกิดศรัทธา เห็นแล้วจูงจิตใจให้เชื่อมั่นยิ่งขึ้นไปอีก
ใช้ถ้วยหรือจอก ขันสำริดใบ เล็ก ๆ ต้องเป็นขนาดแบบรูปเดียวกันหลาย ๆ ใบ เอาเทียนขี้ผึ้งอย่างดีมาทำเป็นแผ่นเล็ก ๆ บาง ๆ
จนแทบจะเหมือนแผ่นกระดาษ แล้วหงายถ้วยที่เตรียมไว้ เอาขี้ผึงแผ่นบาง ๆ ที่ทำไว้นั้นติดทาบไว้ในขันหรือถ้วยที่จะใช้
ทีนี้จึงจับตัวแตนที่เลี้ยงไว้ค่อย ๆ สอดลำตัวเข้าไปเด็ดใบไม้มาคนละใบ เพื่อให้เขาเชื่อมั่นว่า ได้เก็บใบไม้มาด้วยตนเอง
ใช้คนชมให้ไปหยิบขันมาอีกด้วยเขาจะเกิดความเชื่อถือแน่ใจยิ่ง ๆ ขึ้นไป พอเสร็จแล้วเอาขันคว่ำลงที่ใบไม้
เท่านี้มันก็มีตัวแตนอยู่ในนั้นแล้ว ถ้าทำปากขมุบขมิบทำทีว่าเสกคาถา
คนชมที่งมงายอยู่เป็นพื้นแล้วยอมเชื่อถือยกมือขึ้นไหว้ผู้วิเศษทุกราย และผู้ที่ทำชำนาญดีแล้ว ไม่ต้องใบไม้ใช้ขันใบเดียวก็เสกได้
สำคัญอยู่ที่นิ้วก้อยกับนิ้วนางหยิบตัวแตนสอดไว้ด้วยความเร็ว ผู้ดูที่ไม่ค่อยรู้วิชากลมาก่อนมักจะไม่มีไหวพริบจับโกหกได้ทัน
ท่านทั้งหลายจงอย่าได้ฝึกหัดไปหลอกลวงมนุษย์ให้โง่หลงงมงายแลยกรรมตามทันตาเห็น บาปบุญนั้นมีแน่ผมได้พบแล้ว
เรื่องต่อไปคือ การหลอกลวงมนุษย์ให้หลงเชื่อว่าผมเป็นผู้สำเร็จทางอญิญา เป็นผู้ทรงคุณทางอาคมต่าง ๆ นั้น
ได้แก่การเสกเม็ดมะม่วงให้งอกขึ้นเป็นต้นได้ แล้วเสกให้ออกลูกมะม่วงได้ทันที
โดยใช้ศิลปะการพูดหว่านล้อมให้ผู้ดูเกิดศรัทธาเสียก่อน แล้วเอาเม็ดมะม่วงตากแห้งให้ผู้ดูชมเพื่อเขาจะได้เชื่อ
ที่เม็ดมะม่วงใช้เหล็กแหลมเจาะรูไว้ก่อน ครั้นต่อไปหาต้นมะม่วงที่เพาะไว้จนงอกยาว 1 คืบให้มีใบมีราก เตรียมซ่อนไว้ให้มิดชิด
หากิ่งมะม่วงที่ยาวไม่เกิน 1 ศอกที่ลูกติดมาด้วยจะยิ่งดี วิธีเสกแสดงเล่ห์กล ใช้ผ้าคลุมดังวิธีที่แล้ว
ทำปากขมุบขมิบให้ผู้ชมเห็นว่ากำลังว่าคาถา ส่วนมืออยู่ในผ้าจะสับเปลี่ยนอย่างไรก็ไม่มีใครเห็น
พอเปลี่ยนได้ที่แล้วปักลงไปในกระถางดิน ผู้ดูที่งมงายเป็นพื้นอยู่แล้ว เห็นเข้าก็จะยกมือไหว้ผู้วิเศษทุกราย
ยิ่งเป็นนักบวชฤาษีชีไพรด้วยแล้ว คนเขายอมเชื่อง่าย ๆ เพราะเห็นว่าเป็นผู้ทรงศีลคงจะไม่หลอกลวง ที่แท้จริงก็คือ โจรในศาสนา
ไม่ว่าผู้วิเศษคนไหนหนีไม่พ้นการเสกตบตาดังที่กล่าวมานี้ทั้งนั้น คนโง่มากกว่าคนฉลาด จึงยังต้มมนุษย์หากินกันอยู่ได้จนถึงทุก
ๆ วันนี้ สมัยพุทธกาลก็มีผู้วิเศษแบบนี้มามากมายแล้ว
ท่านทั้งหลาย ผลกรรมที่ผมหลอกลวงเงินทองของชาวบ้านโดยการตั้งตัวเป็นผู้วิเศษทรงคุณทางคาถาอาคมนั้น บัดนี้
ผมขอสารภาพด้วยความจริงว่า กรรมนั้นตามสนองผมหมดทุกอย่างแล้วเงินทองที่ได้มามากมาย มีทรัพย์สิน ไร่นา บ้านช่อง
แต่พอกุศลกรรมตามมาสนองเข้าแล้ว มันทุกข์หนักมาก ทำให้มีอันเป็นไปต่าง ๆ นา นา เช่นเมียคบชู้ผลาญทรัพย์จนหมดตัว
ลูกสาวสวยคนโตถูกอันธพาลหลอกไป คนรองตกไปเป็นทาสในซ่องนางบำเรอ ลูกชายคนเล็กหวังว่าจะได้สืบแซ่สกุล
เกิดมาก็ปากเบี้ยว จมูกบี้ ส่วนตัวผมนั้น กรรมที่จับตัวแตนมาเด็ดเขี้ยวมาก ๆ เข้ามันก็ตามมาสนองให้ฟันข้างหน้าปวดเน่า
มีหนองไหลซึมตลอดปี กินเนื้อสัตว์
ทีไร มีหนอนออกมาเป็นตัว ๆ ทุกที เป็นทุกข์ทรมานเรื่อยมา เมื่อความทุกข์ท่วมทับดวงจิตจนทนไม่ไหว จึงได้หันหน้าเข้าพึ่งวัด
ใช่ว่าเวรกรรมนั้นจะหมดสิ้นไปนั้นก็หาไม่
ขอให้ท่านทั้งหลาย จงช่วยกันตอนเพื่อนมนุษย์ให้ได้สติอย่าตื่นข่าวผู้วิเศษกันเลย เป็นสิ่งไร้สาระ
ไม่ใช่วิถีทางที่จะดับทุกข์ที่แท้จริง ขอให้ท่านปฏิบัติอยู่ในธรรมวินัยจงเป็นผู้บริสุทธิ์ทุกท่านเถิด!
(จบบทที่ 2)
CopyRight ©